Description
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma):
คือมะเร็งที่เกิดขึ้นกับระบบน้ำเหลือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน และเป็นระบบที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย ประกอบไปด้วยน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง และต่อมน้ำเหลือง ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรค โดยการทำลายสิ่งมีชีวิตที่ลุกล้ำเข้ามาในร่างกาย เช่น ไวรัส แบคทีเรีย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถเกิดขึ้นกับระบบน้ำเหลืองทุกบริเวณในร่างกาย อาการบ่งชี้ที่สำคัญ คือ ต่อมน้ำเหลืองบวม โต และมักไม่มีอาการเจ็บร่วมด้วย
2 กลุ่มมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่คนเป็นกันมากที่สุด
กลุ่มที่ 1: มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน (Hodgkin's Lymphoma: HL):
กลุ่มที่ 2: มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin's Lymphoma: NHL):
โดยมะเร็งทั้ง 2 กลุ่มนี้มีอัตราการแพร่กระจาย และอาจมีการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นในกระบวนการรักษา ชนิดของมะเร็งจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่ต้องวินิจฉัย
▪︎มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน:
โดยปกติแล้วน้ำเหลืองจะประกอบไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ทำหน้าที่ดักจับ และทำลายเชื้อโรค ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ลิมโฟไซต์ชนิด B หรือ B Cells และลิมโฟไซต์ชนิด T หรือ T Cells ซึ่งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กินมักเกิดมาจากลิมโฟไซต์ชนิด B เป็นหลัก เมื่อลิมโฟไซต์ชนิด B เกิดความผิดปกติ และทำการแบ่งตัวโดยไม่สามารถควบคุมได้ สุดท้ายจะสะสมจนกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลือง ซึ่งสามารถเกิดได้ในระบบน้ำเหลืองทุกส่วนของร่างกาย โดยส่วนมากจะพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้ในวัยเด็ก และวัยหนุ่มสาว
▪︎มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน:
เป็นมะเร็งที่พบในคนไทยมากกว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน เกิดเมื่อลิมโฟไซต์ชนิด B หรือชนิด T เกิดความผิดปกติ และทำการแบ่งตัวโดยไม่สามารถควบคุมได้ สุดท้ายจะถูกสะสมจนกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลือง ซึ่งสามารถเกิดได้ในระบบน้ำเหลืองทุกส่วนของร่างกาย
โดยส่วนมากจะพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้ในวัยผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี
7 อาการบ่งชี้มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการทั่วไปที่บ่งชี้ถึงมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือ
▪︎เกิดการบวมที่ต่อมน้ำเหลือง ส่วนมากบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ และมักไม่มีอาการเจ็บร่วมด้วย ซึ่งอาการบวมเกิดจากการสะสมของลิมโฟไซต์ที่ผิดปกติในต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น ๆ ทั้งนี้อาการบวมที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นอาการบ่งชี้ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเสมอไป แต่อาจบ่งชี้ถึงโรคชนิดอื่นหรือการติดเชื้อบริเวณต่อมน้ำเหลือง
ดังนั้นหากพบว่าต่อมน้ำเหลืองมีลักษณะบวม โต ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่ถูกต้องทันที
▪︎มีไข้
▪︎มีอาการเหงื่อออกตอนกลางคืน
▪︎น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
▪︎รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย
▪︎มีอาการติดเชื้อรุนแรง
▪︎เป็นแผล และเลือดออกง่าย
4 สาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเกิดขึ้นเมื่อ DNA ของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ในน้ำเหลืองเกิดการกลายพันธุ์ ทำให้ลิมโฟไซต์เปลี่ยนเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ และเกิดการแบ่งตัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถูกสะสมในระบบน้ำเหลือง จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ DNA เกิดการกลายพันธุ์และเจริญเป็นเซลล์มะเร็งได้
อย่างไรก็ตาม พบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ ทำให้บุคคลที่ต้องประสบกับปัจจัยต่อไปนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าบุคคลอื่น
1️⃣| อายุ แม้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับบุคคลทุกช่วงอายุ แต่โดยส่วนใหญ่บุคคลที่มีอายุมากกว่าอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าบุคคลที่มีอายุน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดก็มีโอกาสเกิดกับบุคคลที่มีอายุน้อยมากกว่าบุคคลที่มีอายุมากเช่นกัน
2️⃣| เพศ มะเร็งต่อมเหลืองมีแนวโน้มที่จะเกิดกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง
3️⃣| โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน บุคคลที่เป็นโรคทางระบบภูมิคุ้มกัน หรือได้รับยาระงับภูมิคุ้มกัน อาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าบุคคลที่ไม่เคยเป็นโรคหรือไม่เคยได้รับยามาก่อน
4️⃣| การติดเชื้อ เชื้อโรคบางตัวเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วอาจไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เช่น เชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) เชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นต้น
ระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองช่วยบอกวิธีการรักษาที่เหมาะสม
ระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่แตกต่างกันส่งผลให้การรักษาแตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งมะเร็งได้ออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
▪︎ระยะที่ 1: เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองเพียงต่อมเดียว
▪︎ระยะที่ 2: เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลือง 2 จุดขึ้นไป โดยทุกจุดเกิดขึ้นบริเวณเหนือกระบังลมหรือใต้กระบังลมส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากทางการแพทย์ได้แบ่งร่างกายออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้กล้ามเนื้อใต้อกหรือกระบังลมเป็นเส้นแบ่ง คือด้านบนซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่กระบังลมขึ้นไป และด้านล่างซึ่งเป็นส่วนตั้งแต่กระบังลมลงมา
▪︎ระยะที่ 3: เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลือง 2 จุดขึ้นไป โดยกระจายอยู่ทั้งร่างกายส่วนบนกระบังลมและส่วนใต้กระบังลม
▪︎ระยะที่ 4: เซลล์มะเร็งลุกลามสู่อวัยวะอื่นภายนอกระบบน้ำเหลือง เช่น ตับ ปอด กระดูก เป็นต้น
5 วิธีการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้นแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของมะเร็ง ระยะของมะเร็ง และเป้าหมายในการรักษาเป็นหลัก โดยวิธีการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีดังนี้
▪︎วิธีที่ 1: การเฝ้าระวังเชิงรุก (Active Surveillance):
ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดที่มะเร็งมีการเจริญเติบโตของเซลล์ช้า และผู้ป่วยยังไม่แสดงอาการของโรค แพทย์จะใช้วิธีการตรวจสอบ และติดตามอาการเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้เพราะการใช้วิธีการรักษาแบบเชิงรุก (Aggressive Therapy) ในทันทีนั้นยังไม่จำเป็น เนื่องจากไม่ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้มีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น
▪︎วิธีที่ 2: การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy):
การใช้เคมีบำบัดคือการใช้ยาทางเคมีฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยการใช้เคมีบำบัดนั้นมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตัวยาแต่ละชนิดที่ผู้ป่วยได้รับ บางชนิดมีลักษณะเป็นยาเม็ด บางชนิดต้องใช้การฉีดผ่านหลอดเลือดดำ
▪︎วิธีที่ 3: การใช้ตัวยาชนิดอื่น
การใช้ตัวยาชนิดอื่น เช่น การใช้ยาแบบมุ่งเป้า (Targeted Drugs) ซึ่งเป็นการใช้ยาเพื่อไปรบกวนการทำงานของโมเลกุลที่มีความจำเพาะต่อการเจริญเติบโต และแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง หรือการรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) โดยใช้ยาเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในตัวผู้ป่วย ให้ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
▪︎วิธีที่ 4: การใช้รังสีรักษา (Radiation Therapy):
การใช้รังสีรักษาคือการใช้รังสีพลังงานสูง เช่น รังสีเอกซเรย์ หรือรังสีโปรตอน เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกาย
▪︎วิธีที่ 5: การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplant):
แพทย์จะปลูกถ่ายไขกระดูก โดยใช้รังสีปริมาณสูง หรือยาทางเคมีกดการทำงานของไขกระดูกของผู้ป่วย เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดกระบวนการต่อต้านไขกระดูกใหม่ที่จะได้รับต่อไปจึงนำสเต็มเซลล์ที่ดีเซลล์ใหม่ซึ่งอาจได้มาจากการบริจาคหรือจากตัวผู้ป่วยเอง ฉีดเข้าไปในเลือดเพื่อสร้างไขกระดูกใหม่
4 ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจประสบกับอาการที่นอกเหนือจากอาการทั่วไปที่บ่งชี้การเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากระบบน้ำเหลืองจะกระจายอยู่ทั่วร่างกาย
ดังนั้นอาการจึงแตกต่างกันตามอวัยวะในบริเวณที่พบหรือใกล้เคียงเซลล์มะเร็ง โดยอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีดังนี้
1️⃣| ไอ หายใจลำบาก หรือรู้สึกเจ็บหน้าอก เมื่อเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่ต่อมไทมัสหรือระบบน้ำเหลืองบริเวณหน้าอก
2️⃣| ปวดหัว พฤติกรรมเปลื่ยนไป หรือบางครั้งเกิดอาการชัก เมื่อเซลล์เกิดขึ้นที่ระบบน้ำเหลืองในสมอง
3️⃣| เห็นภาพซ้อน ชาที่ใบหน้า มีปัญหาทางการพูด เมื่อเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองลุกลามไปยังบริเวณอื่นรอบสมองและไขสันหลัง
4️⃣| รู้สึกคัน มีก้อนนูนแดงหรือม่วงบริเวณใต้ผิวหนัง เมื่อเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นที่ระบบน้ำเหลืองบริเวณผิวหนัง
พอลลิตินคืออะไร?
พอลลิติน คือสารอาหารธรรมชาติที่ครบองค์รวม มีผลต่อการใช้สร้างเม็ดเลือดขาว ให้ต่อสู้กับมะเร็งร้ายด้วยเทคนิคภูมิคุ้มกันบำบัดตามกลไกธรรมชาติของการทำงานร่างกาย
การรักษามะเร็ง ในปัจจุบัน มักจะใช้วิธีเคมีบำบัด (ยาคีโมหรือ Chemotherapy) หรือ รังสีบำบัด (การฉายรังสี หรือ Radiotherapy)
แต่การให้คีโมหรือฉายแสงนั้น มิใช่การกำจัดเซลล์มะเร็งเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วทุกชนิด ซึ่งส่งผลให้เซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับความเสียหาย รวมถึงเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ป่วย โดยเฉพาะไขกระดูกอาจถูกผลกระทบ และหยุดการผลิตเม็ดเลือดขาวทุกชนิด ระบบภูมิต้านทานเสียหายหมดจึงเป็นโอกาสที่เชื้อโรคต่างๆ เข้ามาแทรกแซงได้ง่าย รวมทั้งยังทำให้เซลล์มะเร็งกลับมาลุกลามใหม่ได้
กล่าวได้ว่าการทำเคมีบำบัด เป็นเพียงการรักษามะเร็งที่ปลายเหตุ ยับยั้งการแพร่กระจายตัว และฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย ณ เวลานั้น แต่เซลล์มะเร็งมีโอกาสกลับคืนมาได้อีกตลอดเวลาหากยังมีเซลล์มะเร็งที่หลุดรอด และแฝงตัวอยู่ในเซลล์ร่างกาย หากภายหลังการรักษาผู้ป่วยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต มะเร็งอาจเป็นที่เดิม หรือลามไปที่ใหม่ได้ เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง หรือระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันไร้ประสิทธิภาพ
ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีแนวคิดที่จะใช้ภูมิคุ้มกันตัวเราเองมาต่อสู้กับมะเร็งร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คือ วิธีภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
จากผลงานวิจัยต่างๆ จากสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นให้กับผู้ป่วยด้วยสารธรรมชาติ 100% คือวิธีการที่ดีสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง และยังเป็นสารที่ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด และมีรายงานว่าการใช้ร่วมกับการรักษากับยาเคมีบำบัด หรือฉายแสง ผลที่ได้จะเป็นการช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง และค่าเลือดต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีจนสามารถรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการร่วมรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดจากสารธรรมชาติที่ปลอดภัยที่สุด โดยผู้ป่วยจะไม่ได้รับผลข้างเคียงใดๆ แต่กลับช่วยลดผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดได้ดีเยี่ยม
พอลลิตินคืออะไร?
พอลลิติน คือสารอาหารธรรมชาติที่ครบองค์รวม มีผลต่อการใช้สร้างเม็ดเลือดขาว ให้ต่อสู้กับมะเร็งร้ายด้วยเทคนิคภูมิคุ้มกันบำบัดตามกลไกธรรมชาติของการทำงานร่างกาย
การรักษามะเร็ง ในปัจจุบัน มักจะใช้วิธีเคมีบำบัด (ยาคีโมหรือ Chemotherapy) หรือ รังสีบำบัด (การฉายรังสี หรือ Radiotherapy)
แต่การให้คีโมหรือฉายแสงนั้น มิใช่การกำจัดเซลล์มะเร็งเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วทุกชนิด ซึ่งส่งผลให้เซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับความเสียหาย รวมถึงเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ป่วย โดยเฉพาะไขกระดูกอาจถูกผลกระทบ และหยุดการผลิตเม็ดเลือดขาวทุกชนิด ระบบภูมิต้านทานเสียหายหมดจึงเป็นโอกาสที่เชื้อโรคต่างๆ เข้ามาแทรกแซงได้ง่าย รวมทั้งยังทำให้เซลล์มะเร็งกลับมาลุกลามใหม่ได้
กล่าวได้ว่าการทำเคมีบำบัด เป็นเพียงการรักษามะเร็งที่ปลายเหตุ ยับยั้งการแพร่กระจายตัว และฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย ณ เวลานั้น แต่เซลล์มะเร็งมีโอกาสกลับคืนมาได้อีกตลอดเวลาหากยังมีเซลล์มะเร็งที่หลุดรอด และแฝงตัวอยู่ในเซลล์ร่างกาย หากภายหลังการรักษาผู้ป่วยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต มะเร็งอาจเป็นที่เดิม หรือลามไปที่ใหม่ได้ เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง หรือระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันไร้ประสิทธิภาพ
ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีแนวคิดที่จะใช้ภูมิคุ้มกันตัวเราเองมาต่อสู้กับมะเร็งร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คือ วิธีภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
จากผลงานวิจัยต่างๆ จากสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นให้กับผู้ป่วยด้วยสารธรรมชาติ 100% คือวิธีการที่ดีสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง และยังเป็นสารที่ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด และมีรายงานว่าการใช้ร่วมกับการรักษากับยาเคมีบำบัด หรือฉายแสง ผลที่ได้จะเป็นการช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง และค่าเลือดต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีจนสามารถรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการร่วมรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดจากสารธรรมชาติที่ปลอดภัยที่สุด โดยผู้ป่วยจะไม่ได้รับผลข้าง
พอลลิติน ทำไมต้องกินหลายสูตร?
เพราะ "พอลลิติน" เป็นสารอาหารระดับเซลล์ เซลล์ในแต่ล่ะระบบต้องการสารอาหารที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเซลล์ในแต่ล่ะระบบจะแยกแยะสารอาหาร และจะเลือกดูดซึมเฉพาะสารอาหารที่ระบบของตัวเองต้องการใช้ เพื่อนำไปฟื้นฟู ซ่อมแซมเซลล์ในระบบของตัวเองเท่านั้น สารอาหารพอลลิตินจึงเข้าไปดูแล และแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุของการเกิดโรคได้อย่างตรงจุด จึงทำให้ผู้ป่วยเห็นผลลัพธ์เร็ว และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น