Description
ลักษณะของกิ้งก่าคามิเลี่ยน
ต้องบอกก่อนเลยว่าเจ้ากิ้งก่าคามิเลี่ยนนี้ เค้าจะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากสัตว์ เรามาทำความรู้จักกันเลยดีกว่าค่ะ ว่าลักษณะของเค้าเป็นอย่างไร ในส่วนของผิวหนังจะมีลักษณะพิเศษของชั้นผิวหนัง และเม็ดสี สามารถเปลี่ยนสีผิวตามอารมณ์นั้นๆ ได้ค่ะ ส่วนผิวหนังชั้นในจะตอบสนองต่อสารเคมี เช่น ในภาวะปกติผิวหนังของ คามิเลี่ยน จะแสดงสีเขียว ในขณะที่โกรธจะแสดงสีเหลือง ตาของคามิเลี่ยนจะกลมโตนูนขึ้นมา ซึ่งสามารถมองเห็นได้รอบทิศทางในรัศมีความกว้าง 360 องศา ทั้งสองข้างแบบไม่พร้อมกัน
นอกจากนี้ตาของเจ้าคาเมเลี่ยน ยังสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของมันได้อีกด้วยค่ะ มาต่อกันที่หางซึ่งดูจะเป็นเสน่ห์ของเค้าเลยล่ะค่ะ เพราะหางของเจ้าคามิเลี่ยนมีขนาดที่ยาวมากและจะม้วนเป็นวงกลม ยิ่งไปกว่านั้นหางของมันยังมีความแข็งแรงสามารถยึดกิ่งไม้แทนขาได้ดีเลยทีเดียวค่ะ อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์นั่นก็คือ นิ้วเท้าทั้ง5 นิ้ว ที่ทำให้เจ้าคามิเลี่ยนสามารถทรงตัวอยู่บนต้นไม้ได้ดีนั่นเอง และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลย คือความยาวของลิ้น มีไว้สำหรับจับแมลงต่างๆ ที่อยู่ไกลๆ และดึงเข้าปากเพื่อเป็นอาหารได้อย่างแม่นยำเลยล่ะค่ะ
วิธีการเลี้ยง
กิ้งก่าคาเมเลี่ยนส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศทั้งแอฟริกา เกาะต่างๆ อินเดีย หรือตะวันออกกลาง ทำให้บางครั้งการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในบ้านเราค่อนข้างลำบาก บางชนิดที่อุณหภูมิไม่แตกต่างมากนักก็ปรับได้ไม่ยาก ตรงข้ามกับบางชนิด ที่มาจากภูมิอากาศเย็นจัด ก็จะปรับตัวไม่ได้ในสภาพอากาศปกติก็จะตายไป การเลี้ยงจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิ โดยทั่วๆ ไปกิ้งก่าคาเมเลี่ยนจะชอบอุณหภูมิประมาณ 20-28 องศาเซลเซียส กิ้งก่าที่เลี้ยงง่ายหน่อยก็จะเป็นพวก แพนเทอร์และ เวลล์ ที่ไม่ต้องการอุณหภูมิต่ำมากนัก ส่วนที่เลี้ยงในอุณหภูมิเย็นหน่อยก็พวก แจ็คสัน พาโซนี่ คาร์เพท ซึ่งต้องการอุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส
1.สำหรับการเลี้ยงเจ้าคามิเลี่ยนนี้ ความชื้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะกิ้งก่าแต่ละตัวต้องการความชื้นไม่เท่ากัน ซึ่งหากกิ้งก่าต้องการความชื้นไม่มาก ผู้เลี้ยงอาจะต้องใช้สเปรย์น้ำวันละ 2 ครั้งเช้าเย็น แต่ถ้าต้องการความชื้นสูง การใช้สเปรย์น้ำอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับมัน จึงต้องมีการติดตั้งระบบน้ำภายในตู้ให้มีหยดน้ำ หรือสเปรย์น้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน นอกจากจะช่วยเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในตู้แล้ว ยังเป็นการให้น้ำกับกิ้งก่าไปในตัวด้วย เพราะกิ้งก่าเหล่านี้จะไม่สามารถกินน้ำในภาชนะได้ มันกินน้ำได้จากหยดน้ำที่เกาะตามยอดหญ้า ใบไม้ ต้นไม้เท่านั้น ซึ่งถ้าคาเมเลี่ยนขาดน้ำมันก็จะตายไปในที่สุด
2.มาต่อกันที่สถานที่สำหรับเลี้ยงกิ้งก่าคาเมเลี่ยน ที่จะอาศัยตามต้นไม้กิ่งไม้ ดังนั้นเราจึงควรจัดสถานที่เลี้ยงให้เข้ากับระบบนิเวศน์ของมัน โดยในกรงควรจัดหาต้นไม้ที่ค่อนข้างมีกิ่งไม้พอสมควร มาจัดเป็นสวนและพื้นกรงควรแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกทำเป็นบ่อน้ำ (ส่วนนี้อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ผู้เลี้ยง ) ส่วนที่ 2 พื้นกรงควรเป็นพื้นดินร่วนไว้สำหรับเลี้ยงจิ้งหรีด หรือไว้ให้ตัวเมียสามารถลงมาวางไข่ได้ กรงที่เลี้ยงจะต้องมีลักษณะโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ในกรณีที่เลี้ยงไว้นอกบ้านจะต้องเป็นกรงที่สามารถกันยุง มด หนู และแมลงต่างๆที่มารบกวนได้ด้วยนะคะ ดังนั้นสถานที่เลี้ยงจะที่มีบริเวณกว้างพอสมควร และต้องไม่สามารถมองเห็นตัวอื่นได้ เพราะสัตว์ชนิดนี้นิยมเลี้ยงเพียงตัวเดียวหรือเป็นคู่
3.ในส่วนของกรงเลี้ยง ควรเลือกกรงที่ง่ายต่อการทำความสะอาด ซึ่งกรงที่ดีนั้นควรจะมีขนาดอย่างน้อย 24 นิ้ว หรือ 48 นิ้ว โดยกรงจะต้องมีทั้งความสูงและความกว้างทำจากวัสดุหลายประเภททั้งมุ้งลวดหรือกระจก การเลี้ยงในตู้กระจกมักจะใช้เลี้ยงคาเมเลี่ยนก่อนวัยเจริญพันธุ์ แต่ไม่สามารถระบายอากาศได้ดีทำให้มีโอกาสเกิดความเครียดส่งผลให้กิ้งก่าป่วยจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้นั่นเอง ดังนั้นตู้กระจกจึงไม่เหมาะกับการเลี้ยงในระยะยาว เนื่องจากจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรีย ส่วนกรงมุ้งลวดนั้นนิยมใช้กันมาก เนื่องจากสามารถระบายอากาศได้ดี เคลื่อนย้ายได้ง่าย แต่ไม่สามารถกันฝนได้ ในกรณีที่เลี้ยงไว้นอกบ้านค่ะ
4.สิ่งสุดท้ายเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือ “แสงงงงงงงงงง” กิ้งก่าคาเมเลี่ยนต้องการแสง UV ในการดำรงชีวิตเป็นที่สุด เพราะในแสงแดดจะทำให้ร่างกายสัตว์พวกนี้ สร้างวิตามินดี เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แคลเซียม และช่วยให้กิ้งก่าคาเมเลี่ยนมีสุขภาพที่ดีนั่นเอง ซึ่งในกรงที่เลี้ยงด้านบนควรมีหลอดไฟ เพราะกิ้งก่ามักขึ้นมาอาบแดดในช่วงกลางวัน และต้องมีบริเวณให้อาบแดดและควรอยู่ด้านบนสุดชองกรงที่เลี้ยง ซึ่งบริเวณที่อาบแดดนั้นควรจะมีอุณหภูมิที่อยู่ในระหว่าง 30 แต่ไม่เกิน 35 องศาเซลเซียส ส่วนมากนิยมใช้หลอดไฟ 60 วัตต์ ในการเลี้ยงกิ้งก่าคาเมเลี่ยน